คลองประเวศบุรีรมย์ Khlong Prawet Buri Rom
![]() |
คลองประเวศบุรีรมย์ |
(Khlong Prawet Buri Rom)
ค้นหา เป็นคลองขุดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ให้ขุดต่อจากคลองพระโขนงไปเชื่อมกับคลองด่าน ออกสู่แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกคลองที่ขุดต่อออกไปว่า "คลองประเวศบุรีรมย์" และให้ขุดคลองแยกจากคลองประเวศบุรีรมย์ อีก 4 คลอง คือ คลองหนึ่ง คลองสอง คลองสาม และคลองสี่ เริ่มขุดตั้งแต่ พ.ศ. 2421 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2423 มีความยาวทั้งสิ้น 1150 เส้น (46 กิโลเมตร)
ในการขุดคลองประเวศบุรีรมย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติ "ประกาศขุดคลอง" ใน พ.ศ. 2420 พระราชทานเงินทุนจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจำนวน 80000 บาท ส่วนทุนสร้างที่เหลือเป็นเงิน 32752 บาท ทรงให้ราษฎรช่วยเสียค่าขุดคลอง โดยจะได้รับผลประโยชน์จากการจับจองที่ดินสองฝั่งคลองเป็นค่าตอบแทน ต่อมาเมื่อที่ดินคลองประเวศบุรีรมย์ไม่เพียงพอกับความต้องการของราษฎร จึงได้ช่วยกันออกเงินจ้างจีนขุดคลองแยก
อีก 4 คลอง คือ คลองหนึ่ง คลองสอง คลองสาม และคลองสี่
และตลอดสองฝั่งของคลองประเวศฯ คือที่อยู่อาศัยของชุมชนไทย – มุสลิม ที่อยู่รวมกันอย่างผสมกลมกลืน ไม่มีแบ่งแยก เราจะพบเห็นบ้านเรือนไทยเก่าแก่ ตั้งเคียงคู่ไปกับมัสยิดอันงดงาม ตลอดสองฝั่งคลอง
บ่งบอกให้เรารู้ว่าวิถีชีวิตของกลุ่มคนสองวัฒนธรรมนั้น สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และเคารพซึ่งกันและกัน
เมื่อเราลงจากเรือเพื่อเดินเลาะไปตามทางเดินเล็ก ๆ ริมฝั่งคลอง เราจะเจอแหล่งสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ช่วยสานต่องานด้านศิลปหัตกรรมจากคนรุ่นก่อนมาสู่คนรุ่นหลัง เช่น "บ้านสุนิสางานผ้าปัก" ที่มีคุณจินดา โตหัวป่า เป็นหัวหน้ากลุ่ม ของเหล่าแม่บ้านริมคลองประเวศฯ ที่รวมตัวกันฝึกฝนการปักผ้าด้วยมุก เลื่อม และด้ายสีสันต่าง ๆ
แล้วนำไปตัดเย็บเป็นผ้าพันคอ เสื้อผ้าไหม กระเป๋า ผ้าฮิญาบ ปลอกหมอน ฯลฯ ซึ่งด้วยความปราณีตบรรจงของกลุ่มแม่บ้านแห่ง "บ้านสุนิสางานผ้าปัก" ทำให้ผลงานของกลุ่มได้รับคัดเลือกให้เป็นสินค้า OTOP ประจำปี 2553 ระดับ 4 ดาว
ที่จะช่วยทำให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของงานหัตกรรมพื้นบ้านกันมากขึ้น
![]() |
(ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปี 2544) คอยถ่ายทอดองค์ความรู้ และภูมิปัญญาเก่าแก่ ในการเจียระไนพลอย และสร้างสรรค์เครื่องประดับที่ทำจากพลอยสีสันสวยงาม ให้กับชาวบ้าน และนักเรียน นักศึกษาในชุมชนจนสามารถนำไป
ประกอบอาชีพได้.....
และเมื่อเราลงเดินลึกเข้าไปตรอกซอยซอยหลังพื้นดินริมคลองแห่งนี้ เราก็จะพบกับบ้านหลังเล็ก – ใหญ่ ที่ปลูกสร้างตามแบบบ้านเรือนในชนบท บ้างยกพื้นใต้ถุนสูง
บ้างก็ตกแต่งบ้านเรือนด้วยฉลุไม้ลวดลายขนมปังขิง
บ้างก็ปลูกเป็นเรือนไม้อย่างง่าย ๆ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่า จะมองไปทางไหน ก็มีแต่เขียวชอุ่มของต้นหมากรากไม้ ทั้งล้มลุกและยืนต้น ที่ปลูกไว้เต็มพื้นที่ว่าง ทำให้เห็นว่า ชาวบ้านในชุมชนริมคลองประเวศฯ นั้นไม่มีการปล่อยให้พื้นดินกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และไร้ประโยชน์เลยสักตารางเมตรเดียว บวกกับสีเขียวสดของจอกแหนที่ขึ้นปกคลุมส่วนที่เป็นพื้นน้ำเกือบจะทั้งหมด
ซึ่งสำหรับคนอื่น มันอาจจะเป็นแค่วัชพืชไร้ประโยชน์ แต่สำหรับที่ชุมชนแห่งนี้ มันกลายเป็นอาหารอันโอชะของเป็ดที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้นั่นเอง ประหยัดค่าอาหารไปได้เยอะ และช่วยควบคุมปริมาณวัชพืชไม่ให้เยอะเกินไปด้วย
![]() |
โดยที่ใบหน้าและจมูกอยู่ห่างจากผิวน้ำไม่ถึง 10 เมตร ได้สัมผัสแล้วว่า ไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์มารบกวนจมูกแต่ประการใด จะมีบ้างก็เพียงกลิ่นคาว ๆ ของน้ำเท่านั้น เพราะจะว่าไปคนยุคเราก็คงไม่อาจหวังให้น้ำในคลองเส้นไหนในกรุงเทพฯ ยังคงใสสะอาดและใช้กิน ใช้ดื่มได้อย่างไม่ต้องกลัวเชื้อโรคแบบคนสมัยก่อน เพียงหวังให้มันไม่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนแทบจะไม่อยากเดินผ่าน เหมือนคลองเส้นหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่เลื่องลือถึงความเน่าเหม็นของน้ำในคลองก็พอ
![]() |
สิ้นสุดเส้นทางการล่องเรือ
ที่ท่าเรือใต้สะพานข้ามคลองประเวศบุรีรมย์ ถ.ศรีนครินทร์ หรือใครจะตัดเส้นทางด้วยการขึ้นเรือที่ท่าเรือใต้สะพานพระโขนง ท่าเรือตลาดเอี่ยมสมบัติ ริมถนนศรนครินทร์ก็ได้....
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดยmanes